Paresthesia คืออาการที่แพทย์เรียกกันว่า ‘ภาวะพาเรสทีเซีย’ ส่วนชาวบ้านบอกว่า ‘เป็นเหน็บ’ - ความรู้สึกเหมือนโดนของแหลมทิ่ม คัน เสียว หรือแสบร้อน เกิดขึ้นได้กับทุกส่วนของร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณแขน ขา และเท้า โดยอาจเกิดจากการกดทับเส้นประสาทแบบไม่ได้ตั้งใจ อย่างการนอนทับแขน หรือนั่งขัดสมาธิเป็นเวลานาน แม้อาการเหล่านี้จะหายได้เองโดยไม่ต้องรักษา แต่เป็นบ่อยๆ ก็เรื้อรัง และอาจนำไปสู่โรคร้ายบางชนิด…
Paresthesia ยังเป็นชื่อนิทรรศการเดี่ยวครั้งล่าสุดของ SOPER - นพัฒน์ เมธาฤกษ์ ศิลปินผู้เป็นคนคุ้นเคยดีของ Bots ซึ่งกำลังจัดแสดงในแกลเลอรี่ของร้านกาแฟชื่อเสือ (SEUA) ย่านสถานีรถไฟเชียงใหม่
นิทรรศการประกอบด้วยภาพจิตรกรรมขนาดใหญ่จำนวน 4 ชิ้น และมีงานชิ้นเล็กๆ เป็นส่วนเสริมอีกจำนวนหนึ่ง โซเปอร์ยังคงใช้สีอะคริลิก สีชอล์ก และสีสเปรย์ เช่นงานที่แล้ว รวมถึงการยังคงเส้นสายและเลเยอร์หลากชั้นที่สะท้อนความพลุ่งพล่านของอารมณ์ หากแตกต่างจากงานชุดหลังๆ ที่หลายคนคุ้นชิน ที่แม้เราจะยังเห็นหัวกะโหลก signature ของเขาอยู่ หากคราวนี้โซเปอร์ ก็หยิบรายละเอียดที่เราไม่คุ้นตามากมายมาใส่ดังเช่นชื่อบทความ - ปรสิต สัตว์เดรัจฉาน ผีพระราชา ไปจนถึงปีศาจ เป็นอาทิ
“งานชุดนี้มาจากภาวะโนไอเดียครับ ผมหดหู่จากบ้านเมือง เหมือนอะไรๆ มันสิ้นหวังไปหมด” โซเปอร์เล่า “ด้วยภาวะแบบนั้น เลยวาดออกมาแบบนี้ ซึ่งผมก็ยังสงสัยเหมือนกันว่าศิลปินคนอื่นๆ เขาไปเอาแรงบันดาลใจมาจากไหน อย่างที่หลายคนก็ยังวาดรูปต้นไม้ใบไม้หรือทิวทัศน์สวยๆ ของเขาได้อยู่…”
เราคุยกันต้นเดือนสิงหาคม ในช่วงเวลาล็อคดาวน์จากโควิดระลอกใหม่ รัฐบาลล้มเหลวในการบริหารจัดการวัคซีนได้เพียงพอ ไม่กี่สัปดาห์หลังโรงงานผลิตเม็ดโฟมที่กรุงเทพฯ ไฟไหม้และทำเอาคนกรุงฯ อพยพกันครึ่งเมือง ทั้งยังคาบเกี่ยวกับที่ตำรวจสลายการชุมนุมม็อบด้วยแก๊สน้ำตาและกระสุนยาง และใช่, มีคนเสียชีวิตจากโควิดรอบนี้เฉลี่ยวันละ 200 คน ต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน ฯลฯ
จะว่าไป นี่คือห้วงเวลาที่ชวนหดหู่ที่สุดของหนึ่งในปีที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์โลกยุคใหม่ของประเทศก็ไม่เกินเลย แต่นั่นล่ะ ถึงจะเป็นอย่างนั้น ทุกอย่างก็ต้องเคลื่อนต่อไม่เว้นกระทั่งงานแสดงศิลปะ บทสัมภาษณ์นี้เล่าถึงงานชุดใหม่ของโซเปอร์ แรงบันดาลใจที่ศิลปินบอกว่าไม่น่าจะเรียกได้ว่าแรงบันดาลใจเท่าใดนัก และความหวังอันริบหรี่ของศิลปินผู้ทำงานในประเทศที่กำลังไร้ความหวัง
คุณเกริ่นไว้ว่าคุณสงสัยศิลปินหรือคนทำงานสร้างสรรค์ท่านอื่นๆ ที่ยังคงทำงานในเชิงมองโลกในแง่ดีอยู่ได้ ในขณะที่ประเทศกำลังเลวร้ายอย่างนี้ เราเลยสงสัยในวิธีคิดการตั้งชื่องานชุดนี้ของคุณ เพราะถ้าแปลเป็นไทยอย่างเข้าใจง่าย Paresthesia คืออาการเหน็บ จึงอยากรู้ว่างานชุดนี้คุณจะสื่อสารความเหน็บชาทางความรู้สึกส่วนตัว หรือต้องการจะเหน็บแนมศิลปินโลกสวยท่านอื่นกันแน่
ผมไม่ได้ทำงานเพื่อเหน็บแนมใคร ถ้าจะเหน็บแนมก็น่าจะเหน็บแนมสภาวะของตัวเองมากกว่า เป็นเหตุผลข้อแรกนั่นแหละครับ มันเหมือนอาการเจ็บๆ ปวดๆ กลืนไม่เข้าคลายไม่ออก ไม่สะดวกสบาย เป็นสภาวะทางจิตใจที่ผมประสบในช่วงหลายเดือนมานี้ซึ่งรวมถึงในช่วงที่ทำงานชุดนี้ด้วย พอทำงานเสร็จ เลยถามเพื่อนที่เป็นนักเขียนให้ตั้งชื่อให้หน่อย ก็มาเจอคำนี้ ผมก็ว่าใช่เลย เอาคำอธิบายศัพท์มาเป็นคอนเซปต์งานด้วย
คุณทำงานนี้เสร็จก่อน แล้วค่อยคิดคอนเซปต์ทีหลังหรอ
ครับ งานชุดนี้มันเกิดจากสภาวะคับข้องที่ผมอธิบายไม่ถูกน่ะ เราทำงานนี้ด้วยสภาวะเช่นนั้น คอนเซปต์จริงๆ มันน่าจะเป็นความอึดอัดคับข้องนี้แหละ จนเพื่อนมาช่วยหาคำอธิบายให้ทีหลัง
สังเกตจากการเลือกองค์ประกอบหรือรายละเอียดในแต่ละรูป ทั้งเปลวเพลิง ปีศาจ สัตว์ ไปพวกอำมาตย์ที่เป็นหัวกะโหลกกับคำว่า Parasite พออนุมานได้ไหมว่ามันเป็นงานที่สะท้อนความรู้สึกของคุณต่อสภาวะบ้านเมืองที่เป็นอยู่
จริงๆ มันกลับกัน งานนี้มันเริ่มจากที่ผมรับปากกับรุ่นพี่เจ้าของแกลเลอรี่ว่าจะทำงานไปแสดง คือยังไงก็ต้องทำแล้ว แต่พอมาดูสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน เปิดทีวีหรือเฟซบุ๊กก็เจอแต่ข่าวชวนหดหู่ มีคนตายทุกวัน ตำรวจไล่ทำร้ายประชาชนในม็อบ เศรษฐกิจก็แย่ ซึ่งมันก็ส่งผลโดยตรงต่อปากท้องผมด้วย ผมไม่รู้จะไปหา input หรือแรงบันดาลใจดีๆ ได้จากไหนเลย แต่ในเมื่อรับปากเขาแล้ว ก็ต้องทำงานออกมา ผมก็เลยขึ้นรูปแรกจากสิ่งที่อัดอั้นมากที่สุดไว้ก่อนเลย แต่พอขึ้นได้สักพัก ก็หยุดไปเป็นเดือนๆ มันเหมือนใจไม่ให้ทำต่อ
ให้เดานะ รูปแรกคือ Parasite เลยใช่ไหม
ใช่ครับ ผมคิดถึงความเหลื่อมล้ำของชนชั้น ยิ่งวิกฤตตอนนี้มันยิ่งเห็นชัด คนจนมีแต่จะจนและตายลง ส่วนพวกชนชั้นสูงก็เก็บเกี่ยวผลประโยชน์จนรวยขึ้น ทั้งยังมีพวกสถานะพิเศษที่ไม่เคยทุกข์ร้อนไม่ว่าประเทศนี้จะเป็นยังไงอีก ในตอนแรกผมคิดถึงภาพ portrait พวกชนชั้นสูงในยุโรปช่วงศตวรรษที่ 17 คิดถึงงานตัดเส้นคมกริบในเสื้อผ้าหรูหรา แต่เปลี่ยนนายแบบให้เป็นหัวกะโหลกแทน ผมขึ้นแบบไว้ แต่ทิ้งไปได้สักพัก ก็พบว่าด้วยสภาวะแบบนี้ลำพังแค่ทำงานให้ออกมาสวยเนี้ยบ ยังทำไม่ได้ สุดท้ายก็กลับมาแบบเดิมคือวาดบอมบ์ทับไปเรื่อยๆ จนกว่าจะพอใจ จนเป็นแบบที่เห็น
มีงานอีกสองชิ้นที่เห็นสีส้มและสีดำมากเป็นพิเศษด้วย
อันนั้นวาดตอนเกิดโรงงานที่กรุงเทพฯ ไฟไหม้ มันคือภาพแทนของเปลวเพลิงและเขม่าที่เราเห็นในภาพข่าว ส่วนอีกรูปก็เป็นคล้ายๆ ปีศาจ ซึ่งเป็นแบบที่ผมไม่เคยวาดมาก่อน คือรู้สึกถึงความร้อนในนรกอะไรทำนองนั้น
แต่จริงๆ แล้ว สังเกตงานที่ผ่านมา งานของคุณมันก็ไม่ได้มองโลกในแง่ดีอยู่แล้ว สถานการณ์ที่เป็นอยู่มันน่าจะสร้างแรงบันดาลใจให้สร้างงานที่เข้าทางคุณไม่ใช่หรือ
มันคนละแบบเลย งานผมมันหม่นหมองก็จริง แต่ส่วนใหญ่มันเกิดจากการบำบัดความรู้สึกน่ะ ที่ผ่านมามันค่อนข้างชัดเจนนะว่าจะเล่าเรื่องอะไรก็วาดออกมาเพื่อปลดปล่อย แม้งานมันวนเวียนอยู่กับความเศร้า ความผิดหวัง แต่มันก็ยังมีสุนทรียะที่พอได้ทำแล้วเราสบายใจอยู่ แต่ชุดนี้มันเหมือนหดหู่ไปหมด มีงานบางชิ้นที่ทำๆ ไปแล้วรู้สึกหลง เฮ้ย กูทำอะไรอยู่วะ เลยมีงานนึงที่ผมเขียนคำว่า No Idea เข้าไป
แสดงว่าคุณไม่พอใจกับงานชุดนี้เลย
ช่วงแรกๆ น่ะ ผมเลยหยุดทำไปพักใหญ่ๆ เพราะคิดว่าถ้าทำต่อมันไม่ดีแน่ หยุดไปทำงานอย่างอื่นเลย ไปทำกราฟิก ไปทำงานออกแบบเพื่อหารายได้ เพื่อให้ลืมมันไป แล้วค่อยกลับมาทำใหม่ ตอนกลับมาทำก็ยังมีความรู้สึกแย่ๆ อยู่ แต่ก็ทำจนหาวิธีดีลกับมันได้ ทำจนรู้สึกพอใจจนเสร็จ
ที่เห็นแตกต่างจากงานชุดก่อนๆ คือคุณเริ่มใช้วัสดุอื่นมาคอลลาจกับเพ้นท์ติ้ง ที่เห็นได้ชัดคือการเพ้นท์บนกระดาษลังมาประกอบบนแคนวาสอีกที
อันนี้ไม่ได้ลึกซึ้งอะไรเป็นพิเศษครับ ผมไม่มีตังค์ เลยซื้อเฟรมได้จำกัด ก็วาดมันลงบนกระดาษลังเลย ผมวาดรูปบนกระดาษลังไว้หลายชิ้นอยู่ แต่ไม่คิดจะมาจัดแสดง จนมีภาพหนึ่งที่วาดบนแคนวาส และคอมโพสไม่ลงตัวสักที เลยเอากระดาษลังมาคอลลาจ แล้วพบว่ามันก็ไปด้วยกันได้ดีอยู่ แค่นั้นเลย
จริงๆ มีงานหลายชิ้นที่มันเกิดจากความไม่ตั้งใจน่ะ เหมือนมีคนมามองว่างานชุดนี้ผมมีความเป็นการเมืองกว่างานก่อนๆ อันนี้ผมก็ไม่ได้คิดไว้แต่แรก
งานคุณไม่ตั้งใจสื่อสารการเมืองหรอกหรือ
มันไม่ใช่ในฐานะกระบอกเสียงน่ะ ถ้าพูดให้ถูกคือมันเป็นงานที่สะท้อนความรู้สึกของมนุษย์คนหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากสังคมการเมืองมากกว่า ผมไม่คิดว่าตัวเองเป็นศิลปินที่มุ่งมั่นจะเล่าเรื่องการเมือง แค่จะเล่าสภาวะภายในของตัวเอง ซึ่งมันผูกโยงอยู่กับการเมือง เราหนีมันไม่พ้น และผมก็ไม่เคยคิดที่จะหนีมัน
เหมือนสภาวะที่ถูกกดทับจากความล้มเหลวของการบริหารบ้านเมืองในรัฐบาลชุดนี้
ประมาณนั้นครับ ใครจะหนีมันพ้นบ้าง เหมือนคุณเห็นรัฐบาลแม่งห่วยแตก คุณก็ต้องด่า จะให้ยิ้มหวานอยู่ได้อย่างไร
แต่คุณก็บอกเองว่ายังมีศิลปินหลายคนที่วาดรูปสวยๆ โรแมนติกได้อยู่นะ
มันไม่ใช่การเหน็บแนมหรือตัดสินอะไร แต่ก็แค่สงสัยว่าเขาสามารถรับมือกับสภาวะทางอารมณ์ของตัวเองได้อย่างไรมากกว่า
แล้วคุณคิดว่าเพราะอะไร
ผมก็อยากรู้เหมือนกัน เขาอาจจะมี input เยอะกว่าผม มีแพสชั่นต่อเรื่องที่หลากหลายกว่า อ่านหนังสือมากกว่า รับมือกับข่าวสารได้ดีกว่า หรือไม่ก็ตัดขาดจากโลกภายนอกเพื่อทำงานศิลปะอย่างเดียวเลยก็เป็นได้ ผมไม่รู้จริงๆ
ในทางกลับกันถ้างานคุณขายได้ราคาดีและขายดีมากๆ ด้วย คือพูดง่ายๆ คือถ้าคุณเป็นศิลปินที่รวย อารมณ์คุณอาจไม่หม่นหมองจนกระทบกับแรงบันดาลใจแบบนี้ก็ได้นะ
จินตนาการไม่ออกว่ะครับ เพราะไม่เคยเป็นแบบนั้น
ทำไมยิ่งคุย ยิ่งเศร้าจัง
แต่ผมไม่ได้สิ้นหวังนะ ถามว่าผิดหวังไหม ก็ผิดหวัง อย่างสองสามปีที่แล้ว ผมยังมีหวังเลยว่าจะเอางานไปแสดงที่ต่างประเทศ แต่ก็อย่างที่รู้กันว่าตอนนี้สถานการณ์มันลำบากและคงเป็นไปไม่ได้ง่ายๆ ในอนาคตอันใกล้ หลายคนที่รู้จักกันก็น่าจะเป็นกันแบบนี้ คือหลายๆ เรื่องรอบตัวมันหยุดชะงักไปหมด และเราได้แต่เฝ้ารอให้สถานการณ์มันดีขึ้น ไอ้การตั้งตารอนี่แหละมันก็แสดงว่าเรายังมีหวัง โดยระหว่างนี้ก็หาวิธีอยู่รอดกันต่อไป
คุณออกตัวว่าไม่ได้ทำงานศิลปะเพื่อการเมือง ศิลปะของคุณมีไว้เพื่ออะไร
เพื่อที่ผมจะได้ทำมัน และได้เงินมาทำงานต่อไป ผมมองตัวเองว่ายังไงเสียจะรวยจะจนเราก็จะทำงานศิลปะ แต่ขณะเดียวกันผมก็ไม่ได้ปฏิเสธการเมืองนะ คือเราไม่ได้นิยามตัวเองว่าเป็นศิลปินที่ทำงานด้านการเมือง แต่ในฐานะประชาชนคนหนึ่ง เราก็สามารถถ่ายทอดประเด็นการเมืองที่เรารับรู้หรือรู้สึกกับมันได้ โดยช่วงหลังๆ มานี้มีศิลปินหลายคนที่ไม่เคยพูดเรื่องนี้มาก่อน ก็หันมาพูดมากขึ้น ซึ่งผมคิดว่าแม่งเข้าใจได้ง่ายมากๆ ก็บ้านเมืองมันเป็นอย่างนี้
แล้วคุณมองตัวเองในฐานะศิลปินแบบไหน
ไม่รู้สิ ผมแสดงงานศิลปะครั้งแรกเมื่อสิบปีที่แล้ว ตอนนั้นผมโคตรกังวลเลยว่าคนดูจะชอบงานเราไหม เราทำแบบนี้เขาจะชอบยังวะ แต่พอทำงานไปสักพักแล้วรู้สึกว่า เฮ้ยไม่ใช่ว่ะ คนดูชอบ แต่คนทำไม่ชอบ แม่งก็ไม่มีประโยชน์ ตอนนี้มันเลยกลับกัน ผมทำเพราะรู้สึกว่าอยากทำหรือต้องทำงานนี้ ตรงไปตรงมากับตัวเอง คนดูจะชอบหรือไม่ชอบนั่นอีกเรื่อง เพราะผมได้ทำ ซึ่งอันนี้แหละประเด็น เพราะจริงๆ แล้วศิลปินก็ต้องกินต้องใช้ คือถามว่ามองไว้แบบไหน ก็มองว่าอยากทำงานที่ซื่อสัตย์กับตัวเอง แล้วมันขายได้ ให้ผมมีเงินมาทำงานใหม่ต่อๆ ไปนั่นล่ะครับ
นิทรรศการ Paresthesia จัดแสดงที่ร้าน SEUA ไปเรื่อยๆ ยังไม่มีกำหนดเก็บ 8.00 น. – 17.00 น. https://www.facebook.com/pages/SEUA/101457152035882/
พูดคุยกับภัณฑารักษ์สาวแห่งใหม่เอี่ยม ลากยาวตั้งแต่เรื่องเบื้องหลัง The Hunters ไปจนถึงศิลปะกับการเมือง และกลไกพิศวงที่กำลังขับเคลื่อนธุรกิจศิลปะในประเทศ
คุยกับอบ-ชุณห์พิมาณ พวงสอาด ล่ามภาษามือและผู้สอนวิชาภาษามือ ว่าด้วยการแปลเพลงให้กลายเป็นภาษามือ