เพราะ ‘อารมณ์’ คือส่วนผสมสำคัญของเพลง เราต่างสุข เศร้า เหงา หรือหงี่ ได้จากการฟังเพลง ไม่ว่าจะแนวอะไรก็ตาม
และตั้งแต่โบราณกาลนานมา ก็มีศิลปินไม่น้อยที่นำเรื่องทางเพศมาเล่าผ่านเพลงทั้งทางตรงและทางอ้อม บ้างฉาบด้วยซาวด์ดิสทอชั่นแตกๆ บ้างเล่าแบบทีเล่นทีจริงในเพลงโซลบีทเก๋ๆ หรือบ้างเล่าผ่านสัญญะที่ซ่อนอยู่ใต้คอร์ดง่ายๆ และคำงามๆ แบบทางป็อป
เมื่ออารมณ์คือส่วนผสมสำคัญของเพลง และอารมณ์ทางเพศก็เป็นหนึ่งในอารมณ์พื้นฐานของมนุษย์ ถ้าไม่คลั่งคำว่าศีลธรรมปลอมๆ เหมือนบางประเทศ ก็คงไม่ไร้เดียงสาเกินกว่าจะฟังเพลงที่ว่าด้วยเซ็กซ์อย่างเปิดเผย
มิหนำซ้ำ ถ้ามองในมุมของการศึกษา เพลงเหล่านี้ก็ไม่ต่างจากตำราเพศศึกษาชั้นดีที่ให้ทั้งความสุนทรีย์และความรู้ สามารถฟังแล้วจดและจำ-นำไปใช้ได้แบบเซียนๆ เพราะเรียนมา
ถ้าไม่รู้จะเริ่มจากไหน เริ่มจาก 5 เพลงรักชั้นดีที่ยกตัวอย่างมานี้ก็ได้ แต่เกริ่นไว้นิดนึงว่า บางเพลงอาจเป็นเพลงที่คุณรู้จักอยู่แล้ว แต่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าความหมายจริงๆ ของมันคือเรื่องเซ็กซ์...ก็เป็นได้
Spice Girls - 2 Become 1 (1996)
บัลลาดโคตรฮิตจากโคตรเกิร์ลกรุ๊ปแห่งยุค 90 ที่ฟังเผินๆ ก็เพลินๆ ป็อปๆ หวานแหววๆ แต่ถ้าเอาเนื้อเพลงมากางแล้วอ่านเอาความหมายแบบจริงจัง ก็จะพบว่ามันไม่ได้ใกล้เคียงกับการเป็นเพลงรักหวานแหววเลยจ้า
เพราะเพลงกำลังพูดถึงการมีเพศสัมพันธ์อย่างเย้ายวน ด้วยสำนวนที่เข้าใจไม่ยาก “I need some love like I never needed love before. Wanna make love to ya, baby” (ฉันต้องการความรักจากคุณอย่างที่ฉันไม่เคยโหยหารสรักเท่านี้มาก่อน..ร่วมรักกันเถิดที่รัก)
มากกว่านั้น ยังพูดถึงการมีเซ็กซ์อย่างปลอดภัยด้วย ตามเนื้อเพลงท่อนนี้ “Be a little bit wiser, baby. Put it on, put it on. 'Cause tonight is the night, when two become one” (คิดให้ดีๆ สิที่รัก สวมมันเลย เพราะคืนนี้แหละ คือคืนที่เราสองจะรวมเป็นหนึ่ง) เดาได้เนอะว่าอะไรที่เราต้องสวมก่อนจะเมคเลิฟกับคนรัก
เนื้อเพลงเขียนขึ้นจากความสัมพันธ์พิเศษระหว่าง ‘Ginger Spice’ เจรี่ ฮัลลิเวลล์ กับแมตต์ โรว นักแต่งเพลง ที่ดูสนิทสนมกันจนคนรอบข้างอดซุบซิบไม่ได้ “เวลาทั้งคู่สบตากัน ฉันรู้ว่ามันมีอะไรอยู่ในนั้น ถึงจะปากแข็ง แต่ฉันก็รู้จักพวกเขาดีเกินกว่าจะปกปิดความลับแบบนี้กับฉันได้” เมล บี เพื่อนร่วมวง Spice Girls ออกโรงเม้า
ที่ตลกคือ หลายคนฟังเพลงนี้ตั้งแต่เด็ก แต่เพิ่งจะมาเข้าใจความหมายของมันจริงๆ ในตอนโต และก็กลับไปฟังเพลงนี้ด้วยความรู้สึกที่ไร้เดียงสาแบบเดิมไม่ได้เลย
ความบันเทิงเหล่านี้พบได้ในช่องคอมเมนต์ยูทูบ เช่น “พวกเราล้วนเคยเป็นเด็กน้อยที่ตะโกนร้องเพลงนี้ในคาราโอเกะ โดยไม่รู้เลยว่ากูกำลังร้องอะไรอยู่!” หรือ “สำหรับเด็กๆ ที่เพิ่งรู้จักมัน รีบตักตวงความสดใสเอาไว้นะ เพราะมันจะหายไปอย่างว่องไวเลยล่ะ”
บทเรียนเซ็กซ์จากเพลงนี้: สวมมัน!
Britney Spears - Touch of My Hand (2003)
จะมีเพลงป็อปเมนสตรีมสักกี่เพลงบนโลกที่พูดถึงการ ‘ช่วยตัวเอง’ อย่างโจ๋งครึ่ม อะ..เพลงนี้ของบริทนีย์แล้วหนึ่ง
ก็ดูเนื้อเพลงซี่! “Cause I just discovered, Imagination's taking over. Another day without a lover. The more I come to understand, The touch of my hand.” (เพราะฉันเพิ่งค้นพบ เมื่อจินตนาการเข้าครอบครองฉัน วันไหนที่ไร้คนรัก ฉันก็ยิ่งเข้าใจชัด..ถึงสัมผัสของมือฉันเอง)
เจ๊บริทบอกเองว่านี่คือแทร็คโปรดของเธอจากอัลบั้มลำดับที่ 4 ‘In the Zone’ ที่อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากภาพลักษณ์อินโนเซนต์ไปสู่ภาพที่เป็นผู้ใหญ่ขึ้น และเพลงนี้ก็ทำหน้าที่นี้ได้อย่างยอดเยี่ยม
“ฉันชอบมันเพราะไม่ค่อยมีใครพูดถึงการทำ ‘สิ่งนี้’ ในเพลงเท่าไร อาจเพราะคนอายที่จะพูดถึงหรือแม้แต่ทำมัน ฉันว่าเป็นเรื่องดีออกที่เราจะปรนเปรอตัวเองในทางเพศบ้างในบางครั้ง”
ถึงมู้ดแอนด์โทนของเพลงจะฟังดูหุ่นยนต์ๆ หน่อยๆ แต่นั่นแหละ ถ้าวัดกันแค่เนื้อหา นี่มันโคตรจะมนุษย์เลยนะ เพราะร้อยทั้งร้อย เราล้วนเคยตกหลุมรักกับมือตัวเองกันทั้งนั้น (หรือไม่จริง)
บทเรียนเซ็กซ์จากเพลงนี้: เรื่องแบบนี้ยังต้องสอนอีกเหรอออ
Elastica - Car Song (1996)
แม้ว่าวงบริทิชนิวเวฟที่ก่อร่างสร้างโดยสาวเท่ จัสติน ฟรีชแมน อดีตสมาชิกยุคก่อตั้งของ Suede วงนี้ จะมีอายุในวงการเพลงไม่ถึงสิบขวบเต็ม
แต่การเป็นเจ้าของอัลบั้มที่ขายได้เร็วที่สุดในอังกฤษเมื่อปี 1995 พ่วงด้วยรางวี่รางวัลและคำสรรเสริญมากมาย ก็น่าจะเพียงพอให้แฟนเพลง (โดยเฉพาะคนรุ่น 30 อัพ) ยังจดจำและคิดถึงสุ้มเสียงดิบสาก กับเนื้อเพลงพังค์ๆ ที่ฟังเมื่อไรก็ยังเฟี้ยว
โดยเฉพาะเพลงนี้ที่พูดถึงการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ใช่บนเตียงตามปกติ แต่เป็นในรถ! ดูจากเนื้อเพลงก็ไม่มีทางแปลเป็นอื่นได้ “Here we go again. I’m riding in your car.” โอเค เห็นภาพทันทีจากคำว่า Riding หรือท่อน “Every shining bonnet, Makes me think of my back on it.” ก็ชวนให้เห็นภาพของการทำ ‘บนรถ’ ด้วย ไม่ใช่แค่ข้างในรถ
ความเฟี้ยวอีกอย่าคือมิวสิควิดีโอผลงานกำกับของ สไปค์ จอนซ์ ที่จับเอาเบลด รันเนอร์มาเจอกับหนังอสุรกายญี่ปุ่นได้อย่างเมามันส์ จนมีคอมเมนต์ในยูทูบบอกว่า เอ็มวีเหมาะแก่การนั่งชมด้วยกันทั้งครอบครัวมากๆ สวนทางกับเนื้อเพลงสุดๆ (ฮ่าๆ)
บทเรียนเซ็กซ์จากเพลงนี้: มีสติก่อนสตาร์ทเสมอนะ
The Beatles - Why Don’t We Do It In the Road? (1968)
ไม่ว่าใคร เห็นคำถามนี้ก็คงต้องตอบเหมือนๆ กันว่า “ก็ไม่ได้ปะ!” แต่เซอร์พอล แม็คคาร์ทนีย์ ไม่ได้คิดเช่นนั้น หลังเห็นลิงสองตัวกำลังฟีทเจอริ่งกันกลางถนนในเมืองฤษีเกศ ประเทศอินเดีย โดยไม่แคร์สายตาผู้คน
เขาฉุกคิดขึ้นมาทันทีว่า เอ้อ แล้วทำไมคนถึงทำอย่างลิงไม่ได้ล่ะ (!?) “ผมเห็นลิงตัวผู้กระโดดไปอยู่ข้างหลังตัวเมีย แล้วกระเด้าก้นเธอหนึ่งที สามวิผ่านไปมันกระโดดหนีแล้วทำหน้าเลิ่กลั่กๆ ในทำนอง..เปล่าๆ ผมไม่ได้ทำ! ตัวเมียก็มองซ้ายมองขวาหาว่าใครมาทำอะไรมัน”
“นั่นแหละ หลักการง่ายๆ ของการกำเนิดสิ่งมีชีวิต ซึ่งมนุษย์เรามองเป็นเรื่องน่ากลัว แต่พวกสัตว์ไม่ได้มองอย่างนั้น”
เมื่อดำริได้เช่นนี้ พอลก็ลงมือจรดปากกาทันที จนได้เป็นเพลงที่มีเนื้อหา...เอ่อ สองประโยคถ้วนๆ หนึ่งคือประโยคเดียวกับชื่อเพลง สองคือประโยคว่า No one will be watching us เหมือนแค่มาตอกย้ำว่า ทำๆ ไปเห๊อะ ไม่มีใครสนใจมองหร๊อก
เมื่อแต่งเสร็จ พอลก็บันทึกเสียงแทบทุกอย่างด้วยตัวเอง ซึ่งเชื่อไหมว่า มันทำให้ใครบางคนเกิดอาการเคือง “เขาอัดทุกอย่างคนเดียว ไม่รู้สิ ผมก็เอ็นจอยกับเพลงนี้นะ แต่ขณะเดียวกัน มันก็ทำให้ผมเจ็บปวดที่เห็นพอลทำอะไรเจ๋งๆ โดยไม่มีพวกเราที่เหลืออยู่ในนั้น” จอห์น เลนนอน กล่าว ซึ่งก็งงๆ อยู่เหมือนกันที่ในท้ายที่สุด เครดิตคนเขียนเพลงนี้ก็เป็นชื่อ ‘Lennon-McCartney’ ซะอย่างนั้น อิหยังล่ะเนี่ย
บทเรียนเซ็กซ์จากเพลงนี้: เราไม่ใช่ลิงเว้ย!
CSS - Let’s Make Love And Listen To Death From Above (2005)
ถ้าคุณบังเอิญไปเจอใครในทินเดอร์ที่ใส่ชื่อเพลงนี้ในช่อง bio ก็อย่าลังเลที่จะปัดขวา แล้วรอลุ้นว่าเขากับคุณแมตช์กันหรือเปล่า
เพราะซิงเกิลเดบิวต์ของวงอิเล็กทรอนิก้าสัญชาติบราซิลเพลงนี้ พูดถึงเรื่องเซ็กซ์อย่างตรงไปตรงมาตามสไตล์คนคลั่งรัก เล่าบนบีทเต้นรำย่ำๆ แบบเพลงอิเล็กโทรเก๋ๆ ที่ฟังเมื่อไรก็ยังเท่และเซ็กซี่ไม่เสื่อมคลาย (สายอินดี้ก็หงี่เป็นนะเว้ย!)
เนื้อเพลงที่ว่าก็อาทิ “You knew my ideas when they were in my head, They were my secret evening plans. Wine then bed then more then again” (คุณรู้ดีว่ามีไอเดียอะไรอยู่ในหัวฉัน มันคือแผนการลับสำหรับค่ำนี้ ไวน์สักขวด เรื่องบนเตียง ทำซ้ำไปเรื่อยๆ)
หรือ “I want to show you how mad is my love. Come and attack me, it's not gonna hurt.” (ฉันอยากโชว์ให้คุณเห็นว่าฉันคลั่งรักแค่ไหน เข้ามาจัดการฉันสิ มันคงไม่เท่าไรหรอก)
อ้อ Death From Above ในที่นี้ อ้างอิงถึงวงแดนซ์พังค์แคนาดาในชื่อเดียวกันที่โลดแล่นในวงการเพลงตั้งแต่ปี 2001 และเพิ่งออกอัลบั้มล่าสุด ‘Is 4 Lovers’ เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
บทเรียนเซ็กซ์จากเพลงนี้: ถ้าการเปิดเพลงคลอระหว่างร่วมรักส่งผลต่อจังหวะจะโคน ก็ลองเปิดเพลงแดนซ์พังค์ดุดันแบบ Death From Above ดู มันอาจช่วยให้คุณไปถึงความสุขเร็วขึ้นก็ได้นะ
รวบรวมนักวาดภาพประกอบจากสามชาติคือญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวันกว่า 300 คนมาสรรค์สร้างภาพแบบเรโทรตามการตีความที่อยู่ในภาพใหญ่ของความเป็น New Retro
สำรวจเมืองต้นกำเนิดของมัน ผ่าน 5 อัลบั้มของศิลปินจากเมืองคิงส์ตัน ผู้มีส่วนสำคัญที่ทำให้เร็กเก้ยังคงเป็นอมตะอย่างทุกวันนี้
มหกรรมดนตรีที่ยิ่งใหญ่และกังวานไกลถึงสวรรค์