BOTS
  • CATEGORIES
      Art & Design
      Lifestyle
      Warmwelcome
      BOTS News
      Coffee Break
      What if ?
      Trans_
      สนทนา
  • VIDEOS
      1591849850911800-Logo-DHB-01.png
      1591849934985394-Your-pen-Logo-02.png
  • logo
    logo
logo
  • CATEGORIES
    • Art & Design
    • Lifestyle
    • Warmwelcome
    • BOTS News
    • Coffee Break
    • What if ?
    • Trans_
    • สนทนา
  • VIDEO
    • DIE HARD BUSINESS
    • Your Pen
  • ABOUT ME
  • DARK MODE
The Fact Five: #PrideMonth
  • Lifestyle
  • Jun 08,2021

The Fact Five: #PrideMonth

กว่าสังคมสากลจะก้าวพ้นการเหยียดเพศ และเคารพซึ่งความเสมอภาคเท่าเทียมในความเป็นคน ก็ต้องใช้เวลาเป็นร้อยเป็นพันปี ผ่านการต่อสู้ เรียกร้อง และสูญเสียมาไม่รู้เท่าไร เพียงเพื่อจะสร้างความเข้าใจอย่างทั่วกัน ว่าทั้งฉันและเธอ ไม่ว่าจะเพศไหนก็คนเหมือนกันล่ะจ้า

แต่นั่นแหละ ถึงโลกสมัยใหม่จะเปิดกว้างและให้เกียรติซึ่งความแตกต่างในเรื่องเพศกว่าแต่ก่อนมากแล้ว ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าชาว LGBTQ+ ยังมีราคาที่ต้องจ่าย (มากน้อยต่างกันไป) ในหลายๆ บริบท ยิ่งกับคนที่รับบทศิลปินผู้เป็น ‘คนของมหาชน’ ยิ่งต้องจ่ายในราคาที่แพง

แม้แต่ระดับ Iconic เช่น เอลตัน จอห์น, เฟรดดี้ เมอร์คิวรี, พรินซ์, เดวิด โบวี่, จอร์จ ไมเคิล มาจนถึงรุ่นหลังอย่าง แซม สมิธ ก็ล้วนเคยผ่าน ‘จุดชำระเงิน’ (ในความหมายเดียวกับราคาที่ต้องจ่าย) กันทุกคน เส้นทางสู่ความสำเร็จของพวกเขาไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบตลอดทาง หากแต่เต็มไปด้วยด้วยสายตาและคำพูดดูถูกดูแคลนตลอดมา

ถึงอย่างนั้น สิ่งที่พวกเขาเหล่านี้มีเหมือนกัน คือความภูมิใจในความเป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะต้องนิยามตัวเองว่าเพศอะไร มีรสนิยมความรักแบบไหน แต่งตัวอย่างไร สุดท้ายก็คือปัจเจกชนผู้มีความแตกต่างหลากหลายเป็นพื้นฐาน และมีความสวยงามเป็นของตัวเอง

นอกจากรายนามตำนานข้างต้น ยังมีนักร้องนักดนตรีอีกเพียบที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนในสังคมที่แค่ ‘เกือบ’ จะเปิดกว้างทางเพศ กว่าจะเป็นที่ยอมรับทั้งในความสามารถและในสิ่งที่พวกเขาเป็น - เนื่องในเดือน Pride Month เราเลยอยากชวนทุกคนหยิบธงสีรุ้งมาโบกสะบัดและเฉลิมฉลองไปพร้อมกัน กับเรื่องจริงของ 5 ศิลปิน LGBTQ+ รุ่นกลางเก่า-กลางใหม่ที่เป็นตัวอย่างของ ‘มนุษย์’ ผู้ภูมิใจในความเป็นตัวเอง

และเราก็ภูมิใจในพวกเขาเช่นกัน

Frank Ocean

The Fact Five BOTS Frank Ocean

ความทรงจำในหน้าร้อนเมื่อตอนอายุ 19 ของนักร้องฮิปฮอป-อาร์แอนด์บีชื่อก้อง แฟรงก์ โอเชียน คือช่วงเวลาที่เขาไม่เคยลืม เพราะมันทั้งสุขทั้งเศร้าในคราวเดียว และทำให้เขาได้รู้จักสิ่งสวยงามที่สุดในโลกอย่าง ‘ความรัก’ เป็นครั้งแรก

“ผมพบใครคนหนึ่งเข้า เราอายุ 19 เท่ากัน ใช้เวลาตลอดซัมเมอร์นั้นและซัมเมอร์ต่อมาเกือบทุกวันด้วยกัน เมื่อเราอยู่ด้วยกัน เวลาผ่านไปเร็วชะมัด แต่แทบทั้งวันผมจะเห็นเขาพร้อมรอยยิ้ม ผมนอนหลับพร้อมกับเขาบ่อยๆ ในตอนนั้นเองที่ผมรู้ทันทีว่าตัวเองกำลังมีความรัก”

และคนๆ นั้นก็คือผู้ชาย - พ่อหนุ่มมหาสมุทรค้นพบว่าตัวเองมีความรักให้กับเพศเดียวกันเป็นครั้งเดียว และมันทั้งลึกซึ้ง ทั้งสิ้นหวัง ตัวเขาเลิกกับแฟนสาวที่คบอยู่ ขณะที่หนุ่มรักแรกคนนั้นก็กลับไปคบกับแฟนสาวของตัวเอง ความสัมพันธ์นั้นแสนสั้นเท่ากับฤดูร้อน แต่ยืนยาวอยู่ในความทรงจำของโอเชียนจนถึงปัจจุบัน

เขาโพสต์เรื่องนี้ในปี 2012 พร้อมประกาศว่าเป็นไบเซ็กชวลผ่าน tumblr ของตัวเองก่อนสตูดิโออัลบั้มแรก  Channel Orange จะปล่อยไม่กี่วัน และมันก็สร้างอิมแพ็คไปทั้งวงการฮิปฮอป

เพราะนอกจากตัวโอเชียนจะกำลังเป็นที่จับตามองในฐานะคลื่นลูกใหม่ของวงการ (ก่อนที่อัลบั้มนี้จะแจ้งเกิดให้เขาได้สำเร็จ) ณ ตอนนั้นก็มีแรปเปอร์เพียงไม่กี่รายที่กล้ายอมรับในรสนิยมทางเพศที่แตกต่างของตัวเอง

หลังโอเชียนคัมเอาท์ ศิลปินและโปรดิวเซอร์เบอร์ใหญ่ในแวดวงแรป อาทิ เจย์-ซี, บียอนเซ่ หรือรัสเซล ซิมมอนส์ ก็ออกมาแซ่ซ้องสรรเสริญในหัวใจที่กล้าหาญของเขาด้วยความยินดี แต่...ที่ออกมาด่าก็มีเหมือนกัน ผายมือไปทาง สนูป ด็อก ฮิปฮอปรุ่นเก๋าเลย รายนี้ด่าเสียเทเสียถึงขั้นบอกว่า วงการนี้ไม่มีที่ยืนให้พวก LGBTQ อย่างโอเชียนหรอกเว้ย จำไว้!

หืม แคร์หรอ? ในเมื่อจะเป็นเกย์หรือเป็นไบก็ไม่ใช่เรื่องผิด ไม่ว่านักร้องแนวไหนก็คือมนุษย์คนหนึ่งที่มีสิทธิ์ ‘เลือก’ อย่างเต็มที่ในร่างกายและจิตใจของตัวเองว่าจะเป็นอะไร

ซึ่งสิ่งที่โอเชียนก้มหน้าก้มตาทำโดยไม่สนคำวิจารณ์ไร้สาระนั่น ก็คือการเขียนเพลงที่มีเนื้อหาเกย์ๆ อย่างชัดเจนไปเลย ซึ่งทุกวันนี้เขาก็ยังอยู่ดีมีสุขในวงการดนตรี แถมยังกลายเป็นไอคอนของชาว LGBTQ ผู้หลงไหลในเพลงฮิปฮอป-อาร์แอนด์บีไปแล้วด้วย

Shura

The Fact Five BOTS Shura

การตัดสินใจเอาดีด้านการร้องเพลงของ อเล็กซานดรา เดนตัน หรือ ชูร่า แทนที่จะเป็นนักฟุตบอลอาชีพของแมนเชสเตอร์ซิตี้ทีมหญิง น่าจะเป็นหนึ่งในการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตเธอ

เพราะนับตั้งแต่ปล่อยเพลงแรก ‘Touch’ ในปี 2014 ชื่อของชูร่าก็มีแต่ขึ้นกับขึ้น ไม่นานเธอก็กลายเป็นศิลปินรุ่นใหม่ที่ได้รับความนิยมสุดๆ ในหมู่คนฟังเพลงอิเล็กโทร-ป็อป แถมยังมีอัลบั้มเต็มถึง 2 ชุด และ

ได้บินไปเล่นคอนเสิร์ตต่อหน้าแฟนเพลงในหลายประเทศทั่วโลก (เคยมาเล่นที่ไทยตั้ง 2 ครั้งแน่ะ)

เช่นเดียวกัน - การเปิดเผยอย่างไม่เคยปกปิดว่าตัวเองชอบผู้หญิงเหมือนกันตั้งแต่เธอเริ่มเข้าสู่เส้นทางดนตรี  ก็เป็นอีกหนึ่งการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตเธอ อย่างในเอ็มวี Tourch ก็เต็มไปด้วยฉากจุมพิตของคู่รักเลสเบี้ยน หรืออัลบั้มเต็มชุดแรก ‘Noting’s Real’ ก็แทบจะเป็นเพลงชาติของกลุ่ม LGBTQ ผู้รู้สึกแปลกแยกจากสังคมได้เลย

ชูร่าบอกว่า ที่เธอไม่เคยปิดบังในเรื่องเพศของตัวเอง ก็เพราะเธอภูมิใจและสบายใจที่จะเป็นตัวเองแบบ  100% เต็ม และเอาจริงๆ เกือบทุกเพลงที่เธอเขียนก็มาจากประสบการณ์ความรักแบบ ‘เลสเบี้ยน’ ฉะนั้นปิดบังไปก็ใช่เรื่อง และมากกว่านั้น...เฮ้ การจะมีรสนิยมความรักแบบไหนก็ไม่ใช่เรื่องผิดนี่ จะเป็นเกย์หรือเลสเบี้ยนหรืออะไรก็เป็นไปเถอะ

สิงหาคม 2019 เธอออกอัลบั้มเต็มชุดที่สอง ‘Forevher’ ในช่วงเวลาที่กำลังคลั่งรักกับแฟนสาวชาวนิวยอร์กสุดขีด มู้ดแอนด์โทนของอัลบั้มจึงเบาความหนักหน่วงลงจากชุดแรกอย่างเห็นได้ชัด ทดแทนด้วยความหวานนุ่มละมุนที่ใครฟังก็ดูออกแหละว่าเธอกำลังแฮปปี้มากๆ ที่ได้ใช้ชีวิตอย่างซื่อสัตย์ต่อหัวใจตัวเอง

อัลบั้มยังเป็นงานรวมฮิตเพลงชาติของชาว LGBTQ เช่นเดิม หากแต่ไม่ชวนเก็บกดและทดท้อในความแปลกแยกอีกต่อไป ชูร่าอยากให้เพลงของเธอจุดประกายความหวังและเป็นกำลังใจให้ทุกคนกล้าที่รักและกล้าที่จะเป็นเฉกเช่นมนุษย์คนหนึ่ง

อย่างเพลง ‘religion (u can lay your hands on me) ก็ว่าด้วยการเกิดเป็นคนผู้มีสิทธิ์ที่จะคิดรักด้วยตัวเองโดยไม่มีกรอบใดมาขวางกั้น ไม่ว่าจะเพศหรือศาสนา มาพร้อมเอ็มวีที่สุดปัง ชูร่ารับบทเป็นเหมือนโป๊ปในชุดขาว ยืนอยู่กลางวงแม่ชีเลสเบี้ยนที่พลอดรัก สูบบุหรี่ และเต้นรำกันอย่างเบิกบาน

บนสวรรค์สมมติที่โคตรน่าอยู่

Rob Halford - Judas Priest

The Fact Five BOTS Rob Halford - Judas Priest

ย้อนไปปี 1998 ร็อบ ฮัลฟอร์ด ฟรอนต์แมนเสียงแหลมทรงพลังของคณะเมทัลชั้นครู Judas Priest ทำในสิ่งที่กล้าหาญและซื่อสัตย์ต่อตัวเองสุดๆ ณ ช่วงเวลาที่สังคมยังไม่เปิดกว้างและยอมรับกลุ่มคน LGBTQ เท่าตอนนี้ ด้วยการประกาศต่อสาธารณชนว่าเป็นเกย์

“ผมคิดว่าคนส่วนใหญ่รู้กันหมดแล้วนะ ว่าผมเป็นเกย์มาตลอดชีวิต” ชายผู้ได้รับฉายา Metal God กล่าวกับ MTV News โดยไม่ได้ตะเตรียมมาก่อน แค่พูดไปอย่างเปิดเผยและสบายใจ หลังต้องปกปิดความจริงมานานเพราะกลัวว่าจะแปลกแยกจากสังคม ‘เสื้อหนัง-แว่นดำ-ไว้หนวด’ ของชาวเมทัล จนต้องหันหน้าไปพึ่งเหล้ายาอยู่พักใหญ่

ซึ่งร็อบก็บอกในภายหลังว่า การคัมเอาท์ครั้งนั้นคือโมเมนต์ที่วิเศษที่สุดในชีวิตเขา “มันเป็นวันที่มหัศจรรย์มากๆ ที่ผมได้ปลดปล่อยตัวเองเป็นอิสระ และได้บอกเรื่องนี้กับทุกคนอย่างเต็มใจ” เขากล่าวทั้งน้ำตา

แต่อย่างที่บอก-สังคมตอนนั้นยังไม่ยอมรับความหลากหลายทางเพศเท่าตอนนี้ ยิ่งในสังคมที่แสนจะ Masculine อย่างกลุ่มคนฟังเพลงหูเหล็ก ยิ่งเลี่ยงยากที่ร็อบจะไม่ต้องเผชิญกับการถูกเหยียดเพศ “ผมถูกรายล้อมด้วยกลุ่มคนที่เกลียดกลัวพวกรักเพศเดียวกัน ในสังคมที่ผมเคยอยู่ ตอนนี้มันคงเป็นที่ๆ ผมจะไม่สามารถกลับไปอยู่ได้อีกแล้ว ยิ่งในยุค 70 ถึง 80 นะ มันโคตรจะอยู่ยากเลยล่ะ”

จนเขาพบว่า การเป็นเกย์ไม่ใช่สิ่งที่ผิดนี่นา แล้วจะใช้ชีวิตอย่างหลบๆ ซ่อนๆ ไปทำไม “ผมเรียนรู้ว่า คุณแค่ต้องปล่อยตัวเองออกจากกรงที่สังคมสร้างขึ้น และเลิกใช้ชีวิตเพื่อคนอื่น รู้ไหมว่าแค่ผมคัมเอาท์ในคราวนั้น มันทำให้ผมพบความสงบอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และช่วยผมให้ผมทำงานอย่างมีความสุขขึ้นด้วย ทำลายความกลัวในใจคุณซะ เพราะทุกคนมีสิทธิ์จะใช้ชีวิตในโลกใบนี้อย่างเป็นตัวของตัวเอง”

“อยู่บนเวที ผมอาจจะสวมชุดหนังสีดำ ตามขนบชาวร็อก นั่นก็คือหนึ่งบทบาทที่ผมเป็น แต่พอลงจากเวที ผมอาจจะไปเป็นแดรกควีนก็ได้ เพราะผมรักแดรกควีนมาก พวกเธอคือกลุ่มคนที่เฟียซที่สุดในจักรวาลนี้” นักร้องเจ้าของเพลงฮิตในยุค 80’ อย่าง Breaking the Law กล่าว

“คนรักเพศเดียวกันมีหลายประเภท คนรักเพศตรงข้ามก็มีหลายประเภท นี่ไง ความสวยงามของการมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าคุณจะเป็นเกย์ เป็นไบ คนดำ คนขาว เอเชียน ลาติน ก็เฉลิมฉลองให้กับมันอย่างภาคภูมิใจ” พระเจ้าเมทัลลั่นวาจา

Romy Madley Croft - The xx

The Fact Five BOTS Romy Madley Croft - The xx

จะมีทรีโอ้แบนด์วงไหนในโลกที่มีความหลากหลายทางเพศเท่า The xx วงดรีมป็อปจากลอนดอนที่ก่อร่างสร้างจากความสัมพันธ์ฉันเพื่อนของ โรมี่ แมดลีย์ ครอฟต์ และ โอลิเวอร์ ซิม ตั้งแต่ทั้งสองอายุเพียง 3 ขวบ (ใช่! อ่านไม่ผิด 3 ขวบจริงๆ!) ก่อนจะค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างในอีก 12 ปีต่อมา

ซึ่งก็เป็นเวลาไล่เลี่ยกับตอนที่โรมี่พร้อมจะคัมเอาท์กับพ่อ ว่าเธอเป็นเลสเบี้ยน “ฉันบอกพ่อตอนอายุ 15 และเขาก็โอเคกับมัน ซึ่งทำให้ฉันใจชื้นมาก” นั่นเพราะนอกเหนือจากพ่อ โรมี่ก็ยังไม่ค่อยกล้าจะบอกเรื่องนี้คนอื่นๆ รอบตัวนักว่าเธอรักผู้หญิง...อ้อ ยกเว้นโอลิเวอร์ที่ซี้กันสุดๆ และเป็นเกย์เหมือนกับเธอ!

ตอนอายุ 16-17 ทั้งสองมักนัดกันทุกคืนวันพฤหัสหลังเลิกเรียนที่บาร์เกย์ในโซโหชื่อ Ghetto เพื่อปาร์ตี้กันอย่าง..เอ่อ..เงียบสงบ “ฉันมักจะยืนหลบๆ ตรงมุมบาร์ ยืนนิ่งๆ แล้วมองไปรอบๆ แค่นี้ก็สนุกแล้วสำหรับฉัน” โรมี่บอก

The xx ออกอัลบั้มเต็มชุดแรกในปี 2009 และก็แจ้งเกิดทันที ด้วยสุ้มเสียงที่สวยงามชวนฝันแบบ minimalist กับส่วนผสมที่พอเหมาะพอเจาะจากความแตกต่างแต่ลงตัวของสามสมาชิก (อีกหนึ่งคือนายเจมี่ xx) ไม่นานพวกเขาก็กลายเป็นวงอินดี้ที่มาแรงแห่งยุค

ทว่ายิ่งมีคนรู้จัก ยิ่งทำให้โรมี่อึดอัดที่จะเป็นตัวของตัวเอง และเธอก็ต้องใช้สักพักใหญ่ๆ เลยกว่าจะกล้าคัมเอาท์ “ตอนทำอัลบั้มแรก บอกตรงๆ ว่าฉันยังไม่พร้อมที่จะเปิดเผยต่อสาธารณะเท่าไรในเรื่องเพศ แต่พอนานวันเข้า ฉันโตขึ้น และโลกก็เริ่มเปลี่ยน มันเลยทำให้ฉันเริ่มสบายใจและกล้าจะเล่าให้ทุกคนฟัง”

แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น โรมี่และวงก็ไม่เคยคิดทำเพลงโดยตั้งต้นจากไอเดียว่า ‘เอาล่ะ วันนี้ฉันจะเขียนเพลงเกี่ยวกับความรักที่ปวดร้าวของชาวเกย์’ พวกเขาเพียงอยากให้เพลงของ The xx เป็นเหมือนพื้นที่ปลอดภัยและเปิดกว้างสำหรับความรักทุกรูปแบบ ไม่ได้จำเพาะเจาะจงเฉพาะกลุ่ม LGBTQ+

หรือจริงๆ อาจเพราะโรมี่ยังหลงเหลือความรู้สึก ‘ไม่เซลฟ์’ เวลาต้องถ่ายทอดเรื่องราวที่เป็นส่วนตัว เธอทั้งขี้อายและขี้กลัวสุดๆ กว่าจะก้าวข้ามความมั่นใจนั้นได้จึงต้องใช้เวลาอยู่นาน “การเขียนเพลงรักแบบหญิง-หญิงทำให้ฉันกลัวและเขินอายเสมอ บางทีเราอาจต้องให้เวลากับมันเพื่อเรียนรู้ที่จะเติบโตและปล่อยวางซะบ้าง ใครจะคิดยังไงก็คงได้แต่ปล่อยเขาไป”

เธอค่อยๆ ทลายกำแพงในใจระหว่างทำเพลงเดี่ยวของตัวเอง ‘Lifetime’ ซึ่งปล่อยมาเมื่อกันยายนปีก่อน เป็นเพลงเต้นรำที่ว่าด้วยการเอ็นจอยโมเมนต์ของชีวิตที่แสนสั้น และแน่นอน มันคือจดหมายรักแด่ชุมชน LGBTQ+ ทั่วโลก “ฉันหวังว่ากลุ่มคนรุ่นใหม่ที่หลากหลายทางเพศจะรักมัน และเรียนรู้ไปพร้อมกันว่าชีวิตนี้ช่างงดงามเพียงใด”

ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เธอเรียนรู้เช่นกันจากการภูมิใจในความเป็น queer ของตัวเอง

King Princess

The Fact Five BOTS King Princess

ลองนึกเล่นๆ ว่าครั้งสุดท้ายที่คุณได้ยินคำว่า ‘Pussy’ หรือจิ๋ม ในเพลงป็อปที่มีท่วงทำนองไพเราะ คือเมื่อไร

นึกไม่ออกล่ะสิ ก็เพราะไอ้คำที่บอกเครื่องเพศของผู้หญิงคำนี้น่ะ ถ้าไม่อยู่ในเพลงฮิปฮอปของแรปเปอร์อันเดอร์กราวน์ชายแท้ ก็มักจะอยู่ในเพลงอิเล็กทรอนิกส์เนื้อหายั่วๆ ของนักร้องหญิงลุคมั่นๆ สักคน

นานๆ ทีเราจะได้ยินมันในเพลงป็อปชั้นดีที่ฟังง่ายๆ อย่างเพลง ‘Pussy is God’ ของศิลปินหญิงดาวรุ่งผู้ออกตัวตั้งแต่แรกสุดว่าเป็น queer อย่างมิเกลา สเตราส์ หรือ King Princess

สเตราส์เติบโตมากับการเฝ้าดูพ่อทำงานเบื้องหลังในสตูดิโอ และได้หัดเล่นเครื่องดนตรีแทบทุกชนิด เช่นเดียวกับทักษะด้านคอมพิวเตอร์มิวสิค จนฉายแววความเก่งตั้งแต่อายุ 11 ก่อนจะฝึกปรือฝีมือเรื่อยมาจนปล่อยเพลงที่ทำเองในปี 2018 ชื่อเพลง ‘1950’ ซึ่งเธอเขียนไว้ตั้งแต่อายุ 13

เนื้อหาของเพลงพูดถึงความรักแบบหลบๆ ซ่อนๆ ของคู่รัก queer ยุค 50’ โดยได้แรงบันดาลใจจากหนังสือ The Price of Salt (ที่ต่อมาถูกดัดแปลงเป็นหนัง LGBTQ สุดซาบซึ้ง “Carol”) และสเตราส์ก็อุทิศเพลงนี้แด่สังคม LGBTQ ทั่วโลก

1950 ไปถูกใจนักร้องรุ่นพี่ แฮร์รี่ สไตล์สอย่างจังจนเจ้าตัวเอาเนื้อเพลงไปทวิต ตัวเพลงและตัวสเตราส์จึงเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น โดยเฉพาะในหมู่ LGBTQ เธอแทบจะกลายเป็นไอคอนคนใหม่ที่ปลุกให้ queer วัยละอ่อนกล้าที่เปิดเผยรสนิยมทางเพศอย่างไม่แคร์สายตาที่ล้าหลังจากบางกลุ่มในสังคม ก็เพราะนี่มันปี 2020 กว่าแล้วนะ ไม่ใช่ 1950 สักหน่อย!

ดูอย่างสเตราส์เป็นตัวอย่างก็ได้ นอกจากจะไม่อายที่จะบอกใครๆ ว่าเป็นเลสเบี้ยน เธอยังใช้สรรพนามว่า she แทนคนรักแทบทุกเพลงเพื่อให้มันกลายเป็นเพลงของ queer ทุกคน แถมยังใส่คำว่า pussy เข้าไปในเพลงได้อย่างไม่เคอะเขิน เพราะเธอเชื่อว่าไม่ใช่เรื่องผิดหรือแปลกที่จะพูดถึงสิ่งนี้อย่างเปิดเผย กลับสมควรซะอีกที่จะใช้คำจำพวกนี้ในทางที่น่ารักน่าเอ็นดู

1950 และ Pussy is God คือประตูบานแรกๆ ที่เปิดให้เธอเข้าไปในวงการดนตรี และยืนหยัดในความเป็น queer artist อย่างสง่าผ่าเผย ก่อนที่ปี 2019 สเตราส์จะออกอัลบั้มเต็มชื่อ ‘Cheap Queen’ พร้อมเรียกเสียงฮือฮาอีกครั้ง เมื่อเธอลงทุนเมคอัพจัดเต็ม มาในลุคแดรกควีนแซ่บๆ นอนสวยๆ อยู่บนปกอัลบั้ม - ไม่แผ่วเลย!

Writer

กันตพัฒน์ พาวงษ์

กันตพัฒน์ พาวงษ์

นักฟังเพลงที่ไม่เป็นสลิ่ม

Illustrator

DEV482

DEV482

Art Director of Everlong Creative House

RELATED CONTENTS

New Retro Illustration-การตีความงานอาร์ตแบบเรโทรโดยศิลปินรุ่นใหม่

New Retro Illustration-การตีความงานอาร์ตแบบเรโทรโดยศิลปินรุ่นใหม่

รวบรวมนักวาดภาพประกอบจากสามชาติคือญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวันกว่า 300 คนมาสรรค์สร้างภาพแบบเรโทรตามการตีความที่อยู่ในภาพใหญ่ของความเป็น New Retro

  • Lifestyle
  • Jan 22,2021

ความย้อนแย้งแบบไทยๆ ที่ทำให้โลกหมุนกลับหลัง

ความย้อนแย้งแบบไทยๆ ที่ทำให้โลกหมุนกลับหลัง

ความเรียงว่าด้วยอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบไทยๆ ที่พาสังคมเดินไปข้างหน้าอย่างกับเดินถอยหลัง

  • Lifestyle
  • Mar 22,2021

The Fact Five: Utada Hikaru - Bad Mode

The Fact Five: Utada Hikaru - Bad Mode

5 เรื่องจริงของอัลบั้มชั้นดีที่ชื่อแย่ของเจ้าหญิงตลอดกาลแห่งวงการ J-Pop

  • Lifestyle
  • Jan 25,2022

logo
  • categories
  • videos
  • about me
Copyright © 2020 BOTS. All Rights Reserved. Powered by I GEAR GEEK