เช่นเดียวกับแฟนเพลงทั่วโลก แม้แต่ตัวสองศรีพี่น้องกัลลาเกอร์เองก็คงไม่คิดมาก่อนว่า ‘Dig Out Your Soul’ สตูดิโออัลบั้มลำดับที่ 7 ของ Oasis ที่ลืมตาดูโลกในเดือนตุลาคม 2008 จะเป็นการรูดม่านปิดตำนานวงบริทป็อปอันดับ 1 แห่งเกาะอังกฤษอย่างเป็นทางการ เมื่อไม่ถึงหนึ่งปีหลังปล่อยอัลบั้ม โนลและเลียมก็มีปากเสียงกันอย่างรุนแรง (อีกครั้ง) ที่หลังเวทีคอนเสิร์ต จนเป็นเหตุให้ Oasis ต้องยุบวง แยกย้ายไปตามทางใครทางท่าน
เพราะจริงๆ มันคืออัลบั้มที่มอบความหวังให้แฟนเพลงด้วยซ้ำ ว่าวงจะก้าวเดินไปในทิศทางที่ควรจะไป ไม่เป๋ซ้ายเป๋ขวาเหมือนหลายปีที่ผ่านมา เมื่ออัลบั้มอัดแน่นด้วยสุ้มเสียงดิบกร้านและจังหวะจะโคนที่กระฉับกระเฉงในแบบที่ Definitely Maybe และ (What's the Story) Morning Glory? สองอัลบั้มแรกเป็น ตัวอย่างชัดๆ ก็เช่นซิงเกิลแรก ‘The Shock of the Lightning’ ที่ไม่พูดพร่ำทำเพลงให้เสียเวลา มาถึงก็ซัดคนฟังด้วยซาวด์กีตาร์แตกพร่าและบีทกลองที่หวดกระหน่ำไม่ยั้งมือ ดิบจนเอาไปแทรกเป็นแทร็คหลังๆ ใน Definitely Maybe ได้แบบเนียนๆ เลย
แต่นอกจากความดิบสากที่สาดเอาไว้ทั่วอัลบั้ม ยังมีเพลงบัลลาดที่หลงมาจากไหนไม่รู้ รู้แค่ว่าเพราะมาก เมโลดี้ลื่นไหล เนื้อเพลงจำง่าย ฟังรอบเดียวก็ติดหูเลย มันคือแทร็คลำดับที่ 5 ของอัลบั้ม ชื่อเพลงว่า ‘I’m Outta Time’ ซึ่งเลียม กัลลาเกอร์ เป็นคนลงมือเขียนและร้องเอง “มันเหมาะมากที่จะใช้เป็นเพลงคั่นตรงกลางของอัลบั้มที่เข้มข้นตลอดต้นจนจบ” โนลที่ปกติจะรับบทคนเขียนเพลงมือวางอันดับหนึ่งของวง กล่าวถึงเพลงช้าจากปลายปากกาน้องชาย “ผมชอบนะ มันทำให้ผมร้องไห้เลยล่ะ จะว่าไป...เผลอๆ เลียมแม่งแต่งเพลงเก่งกว่าผมอีก ยอดเยี่ยมไปเลย โคตรจะเหมาะสำหรับสาวๆ” แหม่ อดแซะอดแซวไม่ได้จริงๆ พรี่โนล
เลียมเคยให้สัมภาษณ์แบบกึ่งยิงกึ่งผ่านว่า เขาใช้เวลาเขียนเพลงนี้ถึง 9 ปี (ไอ้บ้า!) และเขียนเสร็จราวๆ 3 ปีก่อน Dig Out Your Soul จะเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง “ผมได้ท่อนเวิร์สกับดนตรีก่อนเป็นอย่างแรก แล้วใช้อีกเวลาหนึ่งปีเต็มเขียนท่อนคอรัส เพราะพูดตรงๆ ว่าคิดอะไรไม่ออกเลย ไอเดียมันตันไปหมด จนวันหนึ่งผมก็แบบ เชี่ย! มันเกิดขึ้นแล้ว กูเขียนแม่งได้แล้ว!”
นักปราชญ์ที่ไหนไม่ทราบเคยลั่นวาจาไว้ว่า งานที่ดีคืองานที่เสร็จ แต่สำหรับเลียม แม้เขาจะเขียนเนื้อเพลงทั้งหมดจนเสร็จ แต่ฟังแล้วก็ยังรู้สึกแหม่งๆ เหมือนยังขาดอะไรอยู่สักอย่าง “คิดไปคิดมา ด้วยความที่ผมเป็นบิ๊กแฟนของจอห์น เลนน่อน (ใครก็รู้) ก็เลยตัดสินใจว่า เอาล่ะ...งั้นลองใส่เสียงของจอห์นลงไปในเพลงเลยแล้วกัน ผมก็เริ่มหาบทสัมภาษณ์เก่าๆ ของเขามาฟังว่าอันไหนมันเวิร์ค ซึ่งอันแรกที่เจอก็ใช้ได้เลย” ประโยคดังกล่าวคือ ‘As Churchill said, it's every Englishman's inalienable right to live where the hell he likes. What's it going to do, vanish? Is it not going to be there when I get back?’ ตัดตอนมาจากการให้สัมภาษณ์ครั้งสุดท้ายของจอห์น เลนน่อนกับ BBC Radio 2 ในปี 1980 ก่อนที่เขาจะถูกยิงเสียชีวิตไม่นานหลังจากนั้น
นอกจากเอาเสียงมาเป็นแซมเปิลในเพลงแล้ว เลียมยังยอมรับอย่างภาคภูมิว่า I’m Outta Time ได้รับอิทธิพลจากงานของจอห์น เลนน่อน มาเต็มๆ เช่นพาร์ทดนตรี เราก็จะได้ยินเสียงเปียโนที่ชวนให้หวนคิดถึงงานเดี่ยวของจอห์นอย่าง ‘Jealous Guy’ หรืองานสมัยอยู่สี่เต่าทอง ‘A Day in the Life’
ถึงอย่างนั้น เลียมก็บอกว่ามันไม่ใช่งานทริบิวต์จอห์น เลนน่อน แต่อย่างใด “เพราะถ้าคุณคิดจะนั่งเทียนแล้วพยายามเขียนเพลงเพื่ออุทิศให้เขา มันจะลงเอยด้วยการกลายเป็นเพียงขยะเปียกหนึ่งชิ้นเท่านั้น”
“แต่ผมว่า I'm Outta Time เป็นงานที่ดีเลยล่ะ วัดจากเพลงที่ผ่านๆ มาที่ผมเขียนเอง ส่วนใหญ่มันจะห่วยบรม ผมเลยไม่เคยมีเพลงประจำตัวมาก่อน แต่เพลงนี้แหละ แม่งเจ๋ง และผมภูมิใจกับมันมากๆ” ถ้าถามว่าเลียมรักเพลงนี้ก็ไหน...ก็ถึงขั้นแนะนำมันว่าเป็น “Wonderwall อีกเพลงหนึ่ง” ระหว่างทัวร์โปรโมตอัลบั้ม Dig Out Your Soul เลยอะ คิดดู!
ถึงสุดท้าย มันจะไม่ดังเปรี้ยงปร้างและกลายเป็นตำนานที่อยู่เหนือกาลเวลาเหมือน Wonderwall แต่ I’m Outta Time ก็ได้รับการต้อนรับที่ดีจากแฟนๆ จนเรียกว่าเป็นเพลงฮิตได้อยู่ - ขึ้นชาร์ต UK Singles ที่อันดับ 12 และได้รับคำชมจากหลายสื่อ โดยเฉพาะเจ้าใหญ่อย่าง NME ที่บอกว่า นี่คืองาน ‘คืนฟอร์ม’ ของ Oasis อย่างแท้จริง
แน่นอน-ในแง่หนึ่ง แฟนๆ คงเสียดายที่มันเป็นเพลงฮิตเพลงสุดท้ายที่ไม่ต่อยอดไปสู่อะไรเลย เมื่อจะไม่มีอัลบั้มใหม่ในนาม Oasis เกิดขึ้นบนโลกอีกแล้ว (นับถึงตอนนี้) แต่อีกแง่หนึ่ง มันก็อาจเป็น ‘จดหมายลา’ ที่เลียมเขียนได้ทราบซึ้งกินใจ อำลาอย่างอาลัย จากกันไกลให้ใจยังคิดถึง
ก็ลองดูเนื้อหาของเพลงนี้สิ นี่มันซาวด์แทร็คของงานปัจฉิมนิเทศชัดๆ! เมื่อมันว่าด้วยการรำพึงรำพันเป็นครั้งสุดท้ายถึงอะไรต่อมิอะไรที่เคยเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ก่อนที่เวลาของ ‘ฉัน’ จะจบลง
แม้ในท้ายที่สุด...เวลาของ Oasis จะ Outta Time ตามที่เนื้อเพลงว่าไว้ แต่มันก็ถือเป็นการนับหนึ่งบนเส้นทางดนตรีอีกครั้งที่ไม่เลวของเลียม ด้วยการพิสูจน์ว่าเขาก็เจ๋งพอที่จะบินเดี่ยวได้อย่างราบรื่นโดยไม่ต้องง้อเพลงที่เขียนโดย ‘คนอื่น’ ซึ่งก็มีแค่คนเดียวแหละที่เขาหมายถึง
ความฝันของ The Hu ก็ต้องถูกพักไปชั่วคราว เพราะภายหลังที่เขาไปแสดงคอนเสิร์ตในลอนดอนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ยาวมาจนถึงเดือนมีนาคมที่ผ่านมาเขาข้ามไปแสดงที่ออสเตรเลีย แต่ดันเกิดสถานการณ์ไวรัสระบาดและประเทศต้องถูกล็อคดาวน์ลงเสียก่อน จนถึงปัจจุบันพวกเขายังถูกกักตัวอยู่ที่ออสเตรเลีย
ไปดูกันว่าทำไมเมืองแห่งนี้จึงเป็นเมืองหลวงของดนตรีคลาสสิกที่ยังคงไม่เสื่อมมนต์เสน่ห์จนถึงปัจจุบัน